EXCLUSIVE: วิเคราะห์โอกาสรอด ‘ช่อง JKN18’ หลัง ‘แอน จักรพงษ์’ จับมือ TOP NEWS มุ่งขยายฐานแฟนคลับ แต่อาจไม่ง่าย! เพราะธุรกิจทีวีดิจิทัลอยู่ในช่วงขาลง


จากนี้ช่อง JKN18 จะฝ่าฟันความท้าทายของธุรกิจทีวีดิจิทัลได้หรือไม่? หลังพฤติกรรมคนเปลี่ยนกดรีโมตดูทีวีน้อยลงไปทุกวัน กลายเป็นโจทย์หินของ ‘แอน จักรพงษ์’ หลังซื้อกิจการช่อง NEW18 เปลี่ยนมาเป็น JKN18 แต่กระแสกลับไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงหาโอกาสรอด ด้วยการจับมือกับ TOP NEWS หวังขยายฐานแฟนคลับ 

 

ท่ามกลางมรสุมลูกใหญ่ที่ ‘แอน จักรพงษ์’ กำลังเร่งหาทางออกและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และทางรอดหนึ่งในนั้นอาจเป็นการร่วมมือกับ TOP NEWS ที่ประกาศว่าจะผลิตรายการข่าว-บันเทิง-ละคร เพื่อเพิ่มกลุ่มคนดูมากขึ้น 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ MI GROUP วิเคราะห์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า การที่ JKN ออกมาประกาศจับมือกับ TOP NEWS ร่วมกันผลิตรายการข่าวนั้น มีเป้าหมายเพื่อยกระดับช่องตัวเองเข้ามาอยู่ในช่องหลัก เพื่อขยายฐานคนดูมากขึ้น เพราะช่อง TOP NEWS จะเด่นเรื่องข่าวการเมือง มีฐานคนรับชมต่อเนื่อง หรือเรียกได้ว่าเป็นแฟนคลับประจำ 

 

อีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเจรจาเรื่องดีลราคาได้ค่อนข้างดี ซึ่งคาดการณ์ว่าเหตุผลเดียวคือทั้งสองฝั่งต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน อีกคนต้องการเงินทุน และอีกคนต้องการให้ธุรกิจไปต่อได้ 

 

หากวิเคราะห์จุดอ่อนของช่อง JKN จะพบว่า คอนเทนต์ข่าวอาจไม่ได้รับการตอบรับมากนักแม้จะเน้นข่าวเศรษฐกิจจากการจับมือกับช่อง CNBC แต่ในความเป็นจริงส่วนใหญ่จะเด่นเรื่องการถ่ายทอดสดการประกวด Miss Universe ซึ่งเรตติ้งจะขึ้นเฉพาะช่วงเวลาประกวดระยะสั้น ขณะที่โฮมช้อปปิ้งขายสินค้าก็จะมีเพียงลูกค้าบางกลุ่มที่ให้การตอบรับ ซึ่งโดยรวมแล้วไม่ได้ทำให้ช่องมีฐานแฟนคลับประจำเพิ่มขึ้น

 

“สะท้อนให้เห็นว่าการมีผังรายการขายสินค้าถี่จนเกินไป ทำให้คนดูเบื่อได้ ดังนั้นในมุมของผู้ผลิตจะต้องหาจุดสมดุล เช่น ช่วง Prime Time ก็ต้องหาคอนเทนต์อื่นมาแทนการขายสินค้า” 

 

ถึงกระนั้น การเข้ามาร่วมมือกันระหว่าง JKN และ TOP NEWS จะช่วยเรียกเรตติ้งได้มากน้อยแค่ไหนยังไม่สามารถประเมินได้ แต่ถือว่าค่อนข้างยาก เนื่องจากเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเสพสื่อทีวีลดลงทุกวัน และเลือกดูเฉพาะรายการที่ตัวเองสนใจเท่านั้น 

 

หากย้อนดูรายการที่ขับเคลื่อนสื่อทีวีในปีนี้มีแค่รายการวิเคราะห์ข่าวในช่วง Prime Time และละคร ส่วนรายการอื่นๆ ได้ถูกโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มสตรีมมิงดิสรัปต์ไปแล้ว 

 

ความท้าทายทั้งหมดไม่ได้กระทบแค่ JKN หรือ TOP NEWS แต่รวมไปถึงรายการข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ที่จัดโดย สรยุทธ สุทัศนะจินดา หากเราสังเกตจะเห็นว่ากระแสมาเป็นบางช่วง เช่น ช่วงการเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นก็เริ่มลดลง และที่สำคัญคนก็หันไปรับชมทางช่องทางออนไลน์อย่าง Facebook และ X แทน 

 

บริบททั้งหมดส่งผลให้ภาพรวมการใช้เม็ดเงินสื่อโฆษณาลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2565 เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวี ทั้งปีอยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท หดตัวลงเกือบครึ่งภายในเวลา 7 ปี

 

โดยปี 2558 การใช้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีอยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท ส่วนปีนี้คาดว่าจะลดลงเล็กน้อยราว 1% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา 

 

ทำให้เห็นว่าการกลับมารายงานข่าวของสรยุทธไม่ได้กระตุ้นการใช้เม็ดเงินให้เติบโตขึ้นได้ เพียงแต่เม็ดเงินการใช้โฆษณาที่เคยกระจายไปรายการข่าวอื่นๆ ก็หันมาเทให้กับรายการของสรยุทธมากขึ้น 

 

“ในขณะที่เม็ดเงินการใช้สื่อโฆษณาลดลงเรื่อยๆ แต่ดิจิทัลทีวีกลับมีกว่า 24 ช่อง แต่ช่องที่ได้เปรียบคือช่องเบอร์ใหญ่ ได้แก่ ช่อง 3, ช่อง 7, ช่อง one 31 และอมรินทร์ทีวี 34HD ที่มีฐานแฟนคลับประจำ และวันนี้ไม่ได้แข่งขันแค่ช่องทีวีด้วยกันเอง แต่ต้องแข่งกับพฤติกรรมผู้บริโภค ที่หันไปดูผ่านออนไลน์ เช่น Facebook และ TikTok มากกว่า ปัจจัยเหล่านี้เป็นทางเลือกให้แบรนด์หันไปใช้งบโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์แทน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MI GROUP ย้ำ

 

หากย้อนกลับไปในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ‘แอน จักรพงษ์’ ได้บอกกับสื่อว่า ในปี 2566 บริษัทจะทำรายได้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งกลุ่มอยู่ที่ 3.4 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 40% หลังจากนั้นก็เริ่มมีข่าวออกมาว่าไม่สามารถชำระหุ้นกู้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ก่อนจะมีข่าวขายช่อง JKN ให้กับ TOP NEWS มูลค่า 500 ล้านบาท

 

ขณะที่ในมุมนักวิชาการ โดย รศ.ดร.สมชาย สุภัทรกุล คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ถอดบทเรียน JKN กับ THE STANDARD WEALTH ว่า หากดูที่งบกระแสเงินสดของ JKN ในช่วงปี 2562 ถึงไตรมาส 2 ปี 2566 มีการลงทุนจำนวนมากต่อเนื่อง สะท้อนว่าบริษัทกำลังอยู่ในช่วงการสร้างการเติบโต แต่จากการลงทุนที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก 

 

ส่งผลให้บริษัทมีเงินสดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานไม่พอรองรับการลงทุนของบริษัท ซึ่งจะเห็นว่าในไตรมาส 2/66 บริษัทมีการใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ส่งผลให้งบกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนติดลบ 1,589 ล้านบาท ขณะที่งบกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานจะเป็นบวกที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับใช้รองรับการลงทุนในไตรมาส 2/66 ดังนั้นบริษัทมีความจำเป็นต้องจัดหาแหล่งเงินทุนจากภายนอกเพื่อนำมาใช้ในการขยายธุรกิจด้วย

 

นับเป็นที่น่าจับตาว่าอนาคตธุรกิจที่อยู่ในเงื้อมมือ ‘แอน จักรพงษ์’ ทั้งช่อง JKN และ Miss Universe จะเดินหน้าไปในทิศทางไหนต่อไปในวันที่มรสุมพัดเข้ามาในทุกช่องทาง

Leave a Comment